บั้นปลาย ของ แมรี เคแซต

"อาบน้ำให้เด็ก" (The Child's Bath) โดยเคแซต ค.ศ. 1893 สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก

ความมีชื่อเสียงของเคแซตมาจากการเขียนที่เต็มไปด้วยพลัง (rigorously drawn), การวาดจากการสังเกต แต่เป็นงานเขียนในหัวข้อแม่และลูกก็ยังเป็นงานเขียนที่ยังไม่ค่อยแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ (sentimental) เท่างานสมัยต่อมา งานเขียนแรกในหัวข้อนี้คืองาน "แม่อุ้มการ์ดเนอร์" (Gardner Held by His Mother)[31] แม้ว่าเคแซตจะเขียนภาพหัวข้อนี้มาก่อนหน้านั้น ภาพเขียนหลายภาพในระยะแรกเป็นภาพเขียนของญาติ, เพื่อน หรือลูกค้า แต่ในระยะหลังเคแซตมักจะใช้แบบอาชีพใน งานเขียนของเคแซตในระยะหลังทำให้นึกถึงภาพเขียนพระแม่มารีและพระบุตรของสมัยยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลี หลังจากปี ค.ศ. 1900 เคแซตก็เขียนแต่แม่กับลูกเกือบทั้งหมด[32]

ในปี ค.ศ. 1891 เคแซตก็แสดงงานเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองของงานภาพพิมพ์จารเข็ม (drypoint) และภาพพิมพ์อย่างสีน้ำ (aquatint prints) ที่รวมทั้งภาพ "ผู้หญิงอาบน้ำ" และ "ช่างทำผม" ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากงานของจิตรกรญี่ปุ่นที่นำไปแสดงในปารีสในปีก่อนหน้านั้น เคแซตรู้สึกดึงดูดในความง่ายและความชัดเจนในการออกแบบแบบญี่ปุ่น และการใช้สีพิมพ์ ในการตีความหมายของการเขียนแบบญี่ปุ่นของเคแซต เคแซตใช้แสดงตรง ใช้สีแพสเทล และเลี่ยงการใช้สีดำ (ซึ่งเป็นสีต้องห้ามของอิมเพรสชันนิสม์) เอ. เบรสคินแห่งสถาบันสมิธโซเนียนตั้งข้อสังเกตว่าภาพพิมพ์ชุดนี้เป็น "งานที่เป็นตัวของตัวเองที่สุดของเคแซต… ที่เพิ่มบทใหม่ในประวัติศาสตร์ของเลขนศิลป์ (graphic arts) …ซึ่งตามลักษณะงานแล้วยังไม่มีผู้ใดสามารถเท่าเทียมได้"[33]

คริสต์ทศวรรษ 1890 เป็นช่วงที่เคแซตมีงานเขียนมากที่สุดและเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์มากที่สุด ทางด้านส่วนตัวเคแซตเองก็มีความคิดเห็นรุนแรงลดน้อยลงกว่าเดิมและกลายเป็นตัวอย่างของจิตรกรอเมริกันรุ่นต่อมา ที่รวมทั้งลูซี เอ. เบคอน (Lucy A. Bacon) ผู้ที่เคแซตแนะนำให้รู้จักกับกามีย์ ปีซาโร

แม้ว่ากลุ่มจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์จะยุบตัวไปแต่เคแซตก็ยังการติดต่อกับสมาชิกบางคนอยู่รวมทั้ง เรอนัวร์, มอแน และปิซาร์โร[34] ในศตวรรษใหม่เคแซตก็มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้แก่ผู้สะสมศิลปะรายใหญ่ ๆ หลายคนแต่เคแซตมีข้อแม้ว่าบุคคลเหล่านี้ต้องอุทิศงานเหล่านี้ให้แก่พิพิธภัณฑ์ศิลปะในสหรัฐอเมริกาในที่สุด แต่ความมีชื่อเสียงของเคแซตก็เชื่องช้าในสหรัฐอเมริกา แม้แต่ในบรรดาญาติพี่น้องด้วยกันเองเคแซตก็มิได้รับการยอมรับเท่าใดนักและถูกครอบงำโดยชื่อเสียงของพี่ชาย[35]

พี่ชายของเคแซตอเล็กซานเดอร์ เคแซต (Alexander Cassatt) (ประธานของการรถไฟเพนซิลเวเนียระหว่างปี ค.ศ. 1899 จนเสียชีวิต) เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1906 ซึ่งทำความโศรกเศร้ามาให้เคแซตเป็นอย่างมากเพราะทั้งสองคนมีความใกล้ชิดกันแต่เคแซตก็ยังผลิตงานอย่างมากมายมาจนถึงปี ค.ศ. 1910[36] งานในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1900 เป็นงานที่เพิ่มการแสดงความมีอารมณ์ (sentimentality) มากขึ้น งานเขียนของเคแซตเป็นที่นิยมกันในสังคมและนักวิจารณ์ศิลปะแต่ในช่วงนี้เคแซตมิได้สร้างงานที่แตกต่างไปจากวิธีการเขียนที่เคยทำมา และเพื่อนฝูงในกลุ่มจิตรกรอิมเพรสชันนิสต์ผู้ที่เคยเป็นให้แรงบันดาลใจและการวิพากษ์วิจารณ์ก็เริ่มมาเสียชีวิตกันไป เคแซตเองก็ไม่ยอมรับขบวนการศิลปะใหม่เช่นศิลปะอิมเพรสชันนิสม์สมัยหลัง, คติโฟวิสต์ และบาศกนิยม[37]

การเดินทางไปอียิปต์ในปี ค.ศ. 1910 ทำความประทับใจให้แก่เคแซตในด้านความงามของศิลปะโบราณที่ตามมาด้วย "วิกฤติการณ์ทางการสร้างสรรค์" นอกจากการเดินทางจะทำให้เหนื่อยแล้วเคแซตก็ยังประกาศว่ารู้สึก "หมดแรงจากพลังของศิลปะนี้" และกล่าวต่อไปว่าตนเอง "...พยายามต่อสู้แต่ก็พ่ายแพ้ เพราะ[ศิลปะโบราณนี้]เป็นศิลปะอันยิ่งใหญ่ที่อดีตทิ้งไว้ให้ ...ฝีมืออันด้อยอย่างฉันจะทำอย่างไรจึงจะมีผลต่อตัวฉันเองได้เช่นนั้น"[38]

ในปี ค.ศ. 1911 เมื่อได้รับการตรวจว่าเป็นเบาหวาน, โรคไขข้อ, อาการปวดเส้นประสาท (neuralgia) และโรคต้อ เคแซตก็มิได้ชะลอตัวลง แต่หลังจากปี ค.ศ. 1914 เคแซตก็จำต้องหยุดเขียนภาพเมื่อเริ่มมองไม่เห็น และหันไปให้ความสนใจกับการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีแทนที่ ในปี ค.ศ. 1915 เคแซตก็แสดงงานเขียนสิบแปดชิ้นในงานนิทรรศการที่สนับสนุนขบวนการ

เพื่อแสดงความซาบซึ้งในผลงานทางศิลปะที่สร้างรัฐบาลฝรั่งเศสก็มอบเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ให้แก่เคแซตในปี ค.ศ. 1904 เคแซตเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1926 ใกล้ปารีสและถูกฝังไว้ที่ Mesnil-Théribus ในฝรั่งเศส